จึงได้เพิ่มสาขาการผลิตพลังงานทดแทนเข้าไปในตาราง I-O ทั้งหมด 13 สาขาย่อย ได้แก่ สาขาพลังงานดั้งเดิม แยกเป็นฟืนและถ่าน สาขาไฟฟ้า แยกเป็นแสงอาทิตย์ ชีวมวล ขยะ น้ำเสีย ลม พลังน้ำขนาดเล็กและอื่นๆ เช่น แบล็คลิเคอร์ สาขาความร้อน แยกเป็น แสงอาทิตย์ ชีวมวล และ สาขาเชื้อเพลิงชีวภาพ แยกเป็นเอทานอล ไบโอดีเซล เมื่อได้ข้อมูลจากการสำรวจโครงสร้างการผลิตพลังงานทดแทน 13 สาขาย่อยรวมทั้งสาขาการผลิต 180 สาขาที่เกี่ยวข้องจะได้ตาราง I-O ชุดใหม่ประกอบด้วยสาขาการผลิต 193 สาขาเป็นตาราง REPTI (Renewable Energy Power and Thermal Input Output Table) มพส. ขอนำเสนอตัวอย่างการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจไทยจากพลังงานทดแทน โดยใช้ข้อมูลพลังงานทดแทนของประเทศในปี พ. 2560 และข้อมูลที่ได้จากการสำรวจในปี พ. 2560 เป็นตัวแปร ดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานทดแทน จากตารางที่ 1 พอสรุปสาระสำคัญที่ได้จากการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานทดแทนในปี พ. 2560 ดังนี้ 1. สร้างมูลค่าเพิ่มรวม (GDP) ได้ 118, 738 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0. 77 ของ GDP ประเทศ 2. กระจายรายได้หรือ GDP ดังกล่าวไปสู่สาขาการเกษตร อุตสาหกรรม คิดเป็นร้อยละ 5.
การวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการใช้พลังงานทดแทน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ. ) ได้ว่าจ้าง มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม (มพส. )ศึกษางานโครงการปรับปรุงระบบวิเคราะห์การใช้พลังงานทดแทนของประเทศไทยในปี พ. ศ. 2561 โดยมีวัตถุประสงค์ข้อหนึ่ง เพื่อปรับปรุงระบบวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทดแทนดั้งเดิมของประเทศไทยที่สามารถเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจของประเทศ มพส. จึงได้ใช้ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input Output Table)ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. )
สร้างมูลค่าเพิ่มรวม (GDP) มากกว่าเป็นเงิน 62, 092 ล้านบาท 2. สร้างรายได้ให้กับสาขาการเกษตรมากกว่าเป็นเงิน 6, 114 ล้านบาท 3. สร้างรายได้ให้กับสาขาอุตสาหกรรมน้อยกว่าเป็นเงิน 16, 666 ล้านบาท เป็นสาขาเดียวที่การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้เปรียบเพราะรายได้กระจายไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน 4. มีการจ้างงานมากกว่าเป็นจำนวน 97, 379 คน และทำให้เกิดรายได้มากกว่าเป็นเงิน 33, 880 ล้านบาท 5.
4 และ 7. 8 ตามลำดับ โดยมาจากภาคการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเป็นหลัก เนื่องจากเกษตรกรมีรายได้จากการนำแกลบ ใบอ้อย ทลายปาล์ม เศษไม้ และอื่นๆ มาขายให้กับโรงไฟฟ้าชีวมวล 3. เกิดการจ้างงาน 214, 329 คน ทำให้เกิดรายได้รวม 50, 266 ล้านบาทหรือประมาณ 20, 000 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งมาจากภาคการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเป็นหลัก รองลงมาจากภาคการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4. ข้อที่น่าสนใจของการวิเคราะห์โดยใช้ตาราง I-O อีกแง่มุมหนึ่งคือ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเกือบทุกสาขามีการอุดหนุนทางการเงินยกเว้นการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนขนาดใหญ่ โดยมีการอุดหนุนรวมทั้งสิ้น 55, 319 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับสภาพที่เกิดขึ้นจริงจากการอุดหนุนค่าไฟฟ้าของภาครัฐให้กับ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเหล่านี้ เพื่อให้ทราบผลดีและผลเสียจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเปรียบเทียบกับการใช้ เชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้า โดยใช้ราคารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ) ในปี พ. 2560 ที่ 2. 4648 บาทต่อหน่วย นำมาผลิตไฟฟ้าทดแทนปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานทดแทนซึ่งมีปริมาณทั้งสิ้น 29, 019. 80 ล้านหน่วย จะได้ผลกระทบตามตารางท้ายนี้ ตารางที่ 2 เปรียบเทียบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและเชื้อเพลิงฟอสซิล จากตารางที่ 2 สามารถสรุปได้ว่าการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมากกว่าการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล หากพิจารณาเป็นรายสาขาเศรษฐกิจพบว่าเป็นประโยชน์เกือบทุกสาขาเศรษฐกิจ ดังนี้ 1.